5 ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อเพชรกะรัต
- U Diamond
- 9 ก.ค. 2567
- ยาว 2 นาที
เชื่อว่าหลายคนอาจสงสัย และอยากมีความรู้ที่เพียงพอ เพื่อใช้ในการตัดสินใจที่จะเลือกซื้อเพชรกะรัตที่เหมาะสม คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป เพราะการซื้อเพชรไม่ได้เป็นเพียงการลงทุนเท่านั้นที่สำคัญ แต่เป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางจิตใจสูงมาก ดังนั้นการรู้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับเพชรจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและมั่นใจมากขึ้น
.
บทความนี้ของ U Diamond จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเพชรแท้ธรรมชาติ และเข้าใจการเลือกซื้อเพชรไซต์กะรัตมากขึ้น เพื่อให้คุณได้เครื่องประดับเพชรที่ตรงตามความต้องการ และอยู่ในงบประมาณที่คุณกำหนดเอาไว้สำหรับซื้อเครื่องประดับเพชรอีกด้วย
.
5 ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อเพชรกะรัต
1. ทำความรู้จักกับ กะรัตเพชร
กะรัตเพชร (Carat) คืออะไร กะรัตเป็นหน่วยวัดน้ำหนักของเพชรและอัญมณีอื่นๆ ที่ใช้กันทั่วโลก แต่ไม่ใช่หน่วยวัดขนาดหรือปริมาตร เพชร 1 กะรัต (1 ct) แปลงให้อยู่ในหน่วยกรัมจะเท่ากับ 0.2 กรัม หรือ 200 มิลลิกรัม
เมื่อคิดคำนวณกะรัตเพชรออกมาแล้วยังมีเศษทศนิยม ส่วนใหญ่เศษทศนิยมจะถูกแปลงเป็นหน่วยสตางค์ หรือหน่วยตังค์ ซึ่งถือเป็นหน่วยย่อยที่เล็กลงมา เพชร 1 กะรัต มีน้ำหนักเทียบเท่ากับ 100 สตางค์ หากเพชรที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 1 กะรัต จะเรียกกันว่า 90 80 70 ตังค์
ซึ่งน้ำหนักกะรัตมีผลโดยตรงต่อราคาของเพชร โดยเพชรที่มีน้ำหนักมากกว่ามักจะมีราคาสูงกว่าเพชรที่มีน้ำหนักน้อยกว่า แต่การเพิ่มขึ้นของราคาจะไม่เป็นเส้นตรง และน้ำหนักของเพชรเป็นเพียงหนึ่งใน 4 ปัจจัยสำคัญในการประเมินคุณภาพของเพชร (4Cs : Carat, Cutting, Color, Clarity)

2. เพชรที่มีขนาดใหญ่ กะรัตเพชรยิ่งมาก จริงหรือไม่
หลายคนสับสนกับเรื่องนี้เอามากๆ ระหว่างน้ำหนักเพชร กับ ขนาดของเพชร ทำให้หลายคนคิดว่าถ้าอยากได้เพชรที่มีขนาดใหญ่ก็ต้องเลือกเพชรที่มีกะรัตมาก ซึ่งถือเป็นความเชื่อที่ผิด น้ำหนักกะรัตไม่ได้บอกถึงขนาดที่เห็นได้ชัดเจนของเพชร เนื่องจากการเจียระไนและรูปทรงของเพชรมีผลต่อขนาดที่เห็นได้ชัดเจน กรณีที่เจียระไนเพชรออกมาแล้ว บริเวณก้นมีความลึก หรือขอบหนาจนเกินไป ก็จะเป็นการเพิ่มน้ำหนักเพชรโดยไม่จำเป็นได้ เพชรที่มีน้ำหนักเท่ากันแต่เจียระไนแตกต่างกันอาจมีขนาดที่ต่างกันได้

เส้นผ่าศูนย์กลางมาตรฐานของเพชร 1 กะรัตจะอยู่ที่ 6.35 - 6.50 มม.
คำนวณกะรัตเพชรด้วยการวัด
การคำนวณกะรัตเพชรด้วยการวัด ทำได้ง่าย และสะดวกอย่างมาก ในกรณีที่คุณไม่ได้มีเครื่องชั่งน้ำหนักเพชร โดยใช้การวัดทั้งขนาด และเส้นผ่าศูนย์กลางของเพชร เพื่อนำมาใช้คำนวณด้วยสูตร ทำให้คุณคาดคะเนค่าน้ำหนัก หรือกะรัตของเพชรออกมาได้ทันที
เพชรทรงกลม
เพชรทรงกลมมีรูปทรงแบบกลม ดังนั้น จึงต้องใช้การวัดเส้นผ่าศูนย์กลาง และความลึกของเพชร โดยเส้นผ่าศูนย์กลางของเพชร เป็นการวัดระยะเส้นตรงที่ลากผ่านจุดกึ่งกลางของวงกลม เริ่มต้นจากเส้นรอบวงด้านหนึ่ง เพื่อไปบรรจบกับเส้นรอบวงอีกด้านหนึ่ง และมีการใช้หน่วยวัดเป็นมิลลิเมตร ในขณะที่ความลึกของเพชร จะเป็นการวัดระยะแนวตั้ง หรือความสูงของพื้นผิวที่อยู่ด้านบนสุดของเพชร ไปจนถึงจุดด้านล่างสุดของเพชร และมีการใช้หน่วยวัดเป็นมิลลิเมตรด้วยเช่นกัน เมื่อทราบค่าการวัดทั้ง 2 ค่าแล้ว ก็จะนำมาคำนวณผ่านสูตรเฉพาะสำหรับเพชรทรงกลม ดังนี้
กะรัตเพชร (เพชรทรงกลม) = เส้นผ่าศูนย์กลาง (มิลลิเมตร) x เส้นผ่าศูนย์กลาง (มิลลิเมตร) x ความลึก (มิลลิเมตร) x 0.006
เส้นผ่าศูนย์กลางของเพชร วัดได้จากเส้นตรงที่พาดผ่านจุดกึ่งกลางของเพชรทรงกลม โดยเริ่มวัดจากจุดรอบนอกจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง และใช้หน่วยมิลลิเมตรในการวัด
ความลึกของเพชร หรือ ความสูงทั้งหมดของเพชร โดยเป็นความสูงแนวตั้งจากพื้นผิวด้านบนของเพชร ไปจนถึงจุดล่างสุด
ตัวอย่าง เพชรที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 มิลลิเมตร และมีความลึก 2 มิลลิเมตร จะมีกะรัตเพชร = 5 X 5 X 2 X 0.006 = 0.3 กะรัต
กะรัตเป็นหน่วยวัดน้ำหนักของเพชรที่สำคัญและมีผลต่อราคาของเพชร แต่ควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น การเจียระไน สี และความบริสุทธิ์ร่วมด้วยในการตัดสินใจซื้อเพชร
3. Fluorescence อีกปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม
Fluorescence ของเพชรเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อซื้อเพชร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณกำลังมองหาเพชรที่มีความสวยงามและมีคุณภาพสูง
Fluorescence หมายถึงการที่เพชรสามารถเปล่งแสงหรือมีการเรืองแสงเมื่อถูกแสง Ultraviolet อัลตราไวโอเลต (UV) การเรืองแสงนี้เกิดขึ้นเนื่องจากธาตุหรือสิ่งเจือปนภายในโครงสร้างของเพชรที่ตอบสนองต่อแสง UV
ระดับของ Fluorescence ของเพชรแบ่งออกเป็น 5 ระดับหลักๆ ดังนี้

None : ไม่มีการเรืองแสงเมื่อถูกแสง UV เพชรจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงสีหรือแสงเมื่ออยู่ใต้แสง UV
Faint : มีการเรืองแสงเพียงเล็กน้อยเมื่อถูกแสง UV การเปล่งแสงมักจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนในสภาพแวดล้อมปกติ
Medium : มีการเรืองแสงที่ชัดเจนมากขึ้นเมื่อถูกแสง UV การเรืองแสงนี้สามารถเห็นได้ในที่มืดหรือใต้แสง UV โดยตรง
Strong : มีการเรืองแสงที่ชัดเจนและสว่างมากเมื่อถูกแสง UV เพชรจะมีการเปล่งแสงที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนแม้ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงธรรมชาติ
Very Strong : มีการเรืองแสงที่เข้มข้นและสว่างมากที่สุดเมื่อถูกแสง UV การเปล่งแสงนี้สามารถเห็นได้ชัดเจนอย่างมากในทุกสภาพแวดล้อม
เพชรที่ไม่มีการเรืองแสง (None) หรือมีการเรืองแสงเพียงเล็กน้อย (Faint) มักจะมีมูลค่าสูงกว่าเพชรที่มีการเรืองแสงระดับสูง (Strong หรือ Very Strong) ผู้ซื้อบางคนอาจชอบหรือไม่ชอบ Fluorescence ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและผลกระทบต่อรูปลักษณ์ของเพชร
แต่ทริคเล็กๆน้อยๆของการเลือกเพชรที่ติด Fluorescence ต้องเลือกที่มีสีนวลๆอย่างเช่น เพชรน้ำ 94 ลงไป ทำให้การมี Fluorescence สีฟ้าระดับจางๆ ช่วยให้เพชรดูขาวขึ้นเล็กน้อย
Fluorescence เป็นปัจจัยที่สำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อซื้อเพชร เนื่องจากสามารถมีผลกระทบต่อรูปลักษณ์และมูลค่าของเพชร การเข้าใจระดับของ Fluorescence และผลกระทบของมันจะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นในการเลือกซื้อเพชรที่ตรงตามความต้องการและความพอใจของคุณ
4. เลือกเพชรที่มี Diamond Certificate จากสถาบันที่เป็นที่ยอมรับระดับสากล

การเลือกซื้อเพชร นอกจากจะเลือกซื้อจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือแล้ว ต้องมีใบรับรองจากสถาบันที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล อย่าง GIA หรือ HRD ซึ่งปัจจุบันการซื้อเพชรเริ่มต้นที่ขนาด 30 สตางค์ขึ้นไปถึงจากได้รับมาตฐานการยอมรับจากสถาบัน GIA แต่ทาง U Diamond ซื้อเพชรน้ำหนักเริ่มต้นที่ 19 สตางค์ก็สามารถได้รับใบรับรองจากสถาบันที่ทั่วโลกให้การยอมรับได้ ซึ่งนอกจากจะสร้างความมั่นใจในคุณภาพของเพชรแล้ว ยังสามารถทำให้การขายต่อในอนาคตมีความคล่องตัวด้วย
ใบเซอร์เพชรมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเพชร เนื่องจากเป็นเอกสารที่ยืนยันคุณภาพและคุณสมบัติของเพชรอย่างเป็นทางการ รายละเอียดเกี่ยวกับความสำคัญของใบเซอร์เพชร
การรับประกันคุณภาพ (Quality Assurance)
ใบเซอร์เพชรเป็นการรับรองจากสถาบันที่เชื่อถือได้ เช่น GIA, IGI, HRD ว่าเพชรมีคุณสมบัติตรงตามที่ระบุไว้
ใบเซอร์ช่วยให้ผู้ซื้อมั่นใจว่าเพชรที่ซื้อมีคุณภาพตรงตามที่โฆษณาไว้
การระบุคุณสมบัติ (Detailed Specifications)
ใบเซอร์ให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับเพชร เช่น น้ำหนักกะรัต, สี, ความบริสุทธิ์, การเจียระไน และการขัดเงา
ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเปรียบเทียบเพชรต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นและตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น
ความโปร่งใส (Transparency)
การมีใบเซอร์ทำให้ผู้ขายและผู้ซื้อสามารถตรวจสอบคุณสมบัติของเพชรได้อย่างโปร่งใส
ลดความเสี่ยงในการถูกหลอกลวงหรือซื้อเพชรที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่โฆษณา
มูลค่าทางการตลาด (Market Value)
เพชรที่มีใบเซอร์จากสถาบันที่เชื่อถือได้จะมีมูลค่าทางการตลาดสูงกว่าเพชรที่ไม่มีใบเซอร์
ผู้ขายสามารถตั้งราคาขายได้สูงขึ้น และผู้ซื้อก็มีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น
การรับรองความถูกต้อง (Authenticity Certification)
ใบเซอร์ช่วยยืนยันว่าเพชรเป็นของแท้ ไม่ใช่เพชรเทียมหรือเพชรสังเคราะห์
สำหรับเพชรที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์หรือเป็นเพชรหายาก การมีใบเซอร์ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือและมูลค่า
การประเมินราคา (Appraisal)
ใบเซอร์เป็นเอกสารสำคัญในการประเมินราคาเพชรเมื่อมีการซื้อขาย ประกันภัย หรือตีราคาทรัพย์สิน
ผู้เชี่ยวชาญสามารถใช้ข้อมูลในใบเซอร์เพื่อประเมินราคาเพชรได้แม่นยำยิ่งขึ้น
การซื้อขายระหว่างประเทศ (International Trade)
ใบเซอร์จากสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ช่วยให้การซื้อขายเพชรระหว่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นและน่าเชื่อถือ
ลดความซับซ้อนในการตรวจสอบคุณภาพและมูลค่าเมื่อมีการนำเข้าและส่งออกเพชร
ใบเซอร์เพชรเป็นเอกสารที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการยืนยันคุณภาพ ความถูกต้อง และมูลค่าของเพชร ช่วยให้ผู้ซื้อมั่นใจในการลงทุน และเพิ่มความโปร่งใสในการซื้อขายเพชร ใบเซอร์จากสถาบันที่เชื่อถือได้ เช่น GIA จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเพชรและผู้ขายได้มากยิ่งขึ้น
5. กำหนดงบประมาณในใจ
สิ่งสำคัญสุดท้ายแต่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก คือ การกำหนดงบประมาณในการเลือกซื้อเพชรมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากช่วยให้คุณสามารถควบคุมการใช้จ่าย วางแผนการซื้อ และเลือกซื้อเพชรที่มีคุณภาพและตรงตามความต้องการได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเครียดและความกังวลเกี่ยวกับการใช้จ่ายเกินงบประมาณ และทำให้คุณสามารถเจรจาต่อรองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Comments